ตอนที่ 9

      ผมและอีตุ๊ด ต่างแยกกันทันทีที่ผู้จัดการโผล่เข้ามาผมถูกสั่งให้คอยดูแลเก็บโต๊ะ เสิร์ฟอาหาร  รับออเดอร์ คิดเงินและอื่นๆ เอาเป็นว่าสากกะเบือยันเรือรบเลยก็ได้ พอก้าวเข้ามาได้ยินเสียงเด็กเล็กๆตะโกนแหกปาก โอเค ผมก็ได้แต่หลับตาแล้วถอนหายใจอย่างยอมรับชะตากรรมนี้...แต่ถามหน่อยเถอะ เด็กนี่มันเป็นอะไรถึงได้แหกปากกันขนาดนี้ 

     พอทำงานไปสักพักผมได้ยินเสียงอีตุ๊ดตะโกนมมาหาผมว่า


     " อีจิ้กจงๆๆๆ มาดูนี่เร็ว คนรีทวิตหน้าพีมเป็นพันแล้ว~ "

     " จริงเหรอ!! "


     ผมถามอย่างตื่นเต้น แต่ก็นึกขึ้นได้ว่านี่ยังเป็นเวลางานอยู่ เลยมองซ้ายมองขวาดูว่าทางสะดวกมั้ย


     " พี่พิไลไม่อยู่ ไปเอาเงินเข้าธนาคาร ดูเร็วๆ "


     อีตุ๊ดมันเก่งเรื่องหาช่วงเวลาอู้จริงๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนะผมคงด่ากลับไปแล้ว แต่ตอนนี้...


     " อ๋อ...ไหนๆ "


     โห...คนรีทวิตไปตั้งสองพันกว่าแล้วเนี่ย! ต้องไปเค้าต้องดังแน่ๆ และถ้าเราเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้เค้าละก็..เราก็ไม่ต้องมาเป็นพนังงานเสริฟอีก


     " น้องพนักงานคะ "

     " ครับ...มีอะไรให้ช่วยครับ "

     " ช่วยทำอะไรสักอย่างหน่อยสิ มีเด็กอ้วกอยู่ข้างโต๊ะนะ "


     เด็กอ้วก? แล้วภาพเด็กเลโก้เรนนั้นก็แวะมาในเข้ามาในหัว ผมกับอีตุ๊ดมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย แต่ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่ได้มีแค่นั้นเพราะเด็กมันมีตั้งสองคน 


     " เฮ้ย! ลูกใครเนี่ยกำลังขี้ที่พื้น "


     ขี้ที่พื้น??

     

     " อย่านะหนูู!! "

     

     ว่าแล้วมันก็ไปอุ้มเด็กขึ้นมาแล้ววิ่งหน้าตั้งไปที่ห้องน้ำ ตอนนั้นที่ผมเพิ่งจะได้ยินเสียงแม่ของเด็ก 


     " เกิดอะไรขึ้น เลโก้หนูอึเหรอลูก "


     การที่ลูกขี้ที่พื้นไม่ได้ทำให้นางอายหรือรู้สึกอะไรเลย สังเกตได้จากสีหน้าคนรอบข้างหน่อยไหม และถึงน้ำหนึ่งมันจะอุ้มเด็กเปรตนั้นไปเเล้ว แต่อุจจาระบางส่วนก็ยังกองอยู่ที่พื้น แล้วไม่ได้เป็นก้อนด้วยนะ มันเป็นน้ำ  อี๋...เห็นแล้วขนลุก


     " ตายแล้ว...พี่ขอโทษด้วยนะน้อง รบกวนช่วยทำความสะอาดให้ด้วยละกันนะ "


     มนุษย์แม่ว่าแล้วก็เดินไปหาลูกสาวที่อ้วกอยู่อีกทางและกำลังร้องไห้กระจองงอแง จนลูกค้าคนอื่นๆ ในร้านพากันทำหน้าเอื่อมระอา ที่น่าสงสารยิ่งกว่าคือลูกค้าบางโต๊ะที่ต้องมาเห็นขี้ที่พื้น จะกินข้าวลงได้ยังไง บ้างโต๊ะก็ทำท่าจะลุกหนีเรียกพนักงานเช็คบิลแล้วด้วย 


     " พวกเราไม่ต้องทำ! เดี๋ยวรุ้งไปบอกให้แม่เด็กทำเอง "


     ผมว่าแล้วก็เดินไปหยิบกระดาษชำระและน้ำยาบ้างพื้นที่ด้านในออกมา


     " เฮ้ย! จะดีเหรอรุ้ง นั้นลูกค้านะ "

     " อย่าเลยรุ้ง เดี๋ยวพวกพี่ทำเอง "

     " ขี้ลูกใครก็ให้คนนั้นทำสิพี่ "

     " แต่ว่า... "


     ผมไม่สนใจเสียงคัดค้าน แล้วเดินพุ่งตรงไปที่โต๊ะของมนุษย์แม่ที่ตอนนั้นอุ้มลูกชายและลูกสาวที่กลับมานั่งกินโต๊ะแล้ว ทำท่าทีไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว ไม่สนสายตาใครหน้าไหนทั้งสิ้น เสียดายที่ผมเห็นพนักงานทางโน้นกำลังเช็ดอ้วกของเด็กผู้หญิง 


     " คุณลูกค้าครับ...เรื่องทำความสะอาด "

     " อ้อ...เดี๋ยวพี่ให้ทิป ช่วยหน่อยนะน้อง "

     " ผมไม่ต้องการทิปครับพี่ ผมต้องการให้พี่ไปทำความสะอาดพื้นต่างหาก "

     " อะไรนะ! "

     " พี่ก็ได้ยินแล้ว...นี่กระดาษทิชชู ส่วนนี้น้ำยาเช็ดพื้นครับ "

     " นี่แกจะบ้าเหรอ "

     " เอ่อ...คุณวิใจเย็นๆนะคะ "

     " ไม่ยุ่งไม่เย็นมันแล้วค่ะคุณนรินทร์ ดูอีเด็กนี่มันพูดสิมันเป็นแค่เด็กเสิร์ฟแท้ๆ ไม่ใช่ลูกค้าแบบนี้มันเกินไปหรือเปล่า "


     หลังจากนั้นผมกับอีนางมนุษย์แม่นั่นก็ได้ทะเลาะกันชุดใหญ่ รายการเถียงกันไปเถียงกันมาฟ้องกันไปฟ้องกันมา รู้ไหมว่าผลสรุปมันคืออะไร มันก็คือผมเองที่จะเช็ดขี้ที่พื้นเพราะอีนางมนุษย์แม่ไม่ยอมทำได้แต่ตั้งเงินไว้เเล้วหนีอุ้มลูกออกจากร้านไป


     " รุ้ง "

     " ครับ? "

     " ไม่ต้องมาทำงานจนกว่าพี่จะโทรไปนะ "  

     " ... "


     ผมยืนชื่อปล่อยให้สมองประมวลผลคำพูดของพี่พิไล

     นะ..นี่เราโดนไล่ออกจากงานเพราะอีมนุษย์แม่นั้นหนะเหรอ


     " ยืนอยู่ทำไม...ทำไมยังไม่ไปอีก "


         ที่จริงมันก็ยังไม่จบแค่นี้หรอกนะ ในเมื่อผมกำลังจะโดนไล่ออกแบบทางอ้อม อย่างนั้นมันก็ต้องมีเหตุและผลหน่อยสิ ผมไม่เข้าใจว่าผมทำอะไรผิดทั้งที่ลูกค้าก็ยัง เข้าข้างผมเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อพี่พิไลตอบกลับใส่หน้าผมว่า

 

     " เราทำงานบริการเพราะฉะนั้นไม่ว่าลูกค้า จะขี้ จะเยี่ยว จะอ้วกหรือจะทำอะไร เราก็ต้องตามล้างตามเช็ดการที่เธอไปวีนแบบนั้นสุดท้าย เธอก็ต้องความทำความสะอาดเองอยู่ดี ถึงเธอจะไม่ยอมพนักงานคนอื่นในร้านก็ต้องทำอยู่ดี "


     ฟังแบบนี้แล้วผมเองถึงกับพูดไม่ออกเลย แบบทุกอย่างในหัวตอนนี้มันอื้อไปหมด


     " ... "


     ก่อนจะเดินออกจากร้าน น้ำหนึ่งเข้ามาตบไหล่แล้วบอกว่าเสียใจด้วยจริงๆนะ


     " อ้าว...รุ้ง "


     ผมเงยหน้าขึ้นมาแล้วก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าตัวเองเดินมาร้านที่พีมทำงานอยู่เฉยเลย 


     " ไงพีม "

     " เหตุใดจึงมาอยู่ตรงนี้ได้หละ พักอยู่เหรอ "


     พัก...เมื่อได้ยินคำนี้ผมถึงกับเสียงแห้ง


     " ใช่ พัก...พักแบบยาวเลย เราจะกลับบ้านวันนี้นายกลับเองนะ จำทางได้ใช่มั้ย "

     " รอสักครู่ เราจะไปบอกพี่อิงว่าเราจะเลิกงานแล้ว จะได้กลับบ้านพร้อมกัน "

     " ไม่ต้องหรอก ทำงานเถอะจะได้เงินเยอะๆ รีบไปถ่ายรูปกับลูกค้าเถอะ "

     " รอเราด้วยนะ อย่าพึงรีบกลับจะได้กลับพร้อมกัน "


     เค้าบอกผมแล้วก็รีบวิ่งไปทำงานต่ออย่างเร็ว


     " เจอกันที่บ้านนะ "


     ผมบอกไปโดยไม่สนใจว่าเค้าจะได้ยินหรือไม่ได้ยินแล้วก็เดินออกมา

     ณ ในห้อง


     " รุ้งเรากลับมาแล้วนะ "

     " อืม "

     " เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมไม่รอเราละ "

     " ขอโทษนะที่ไม่ได้รอ... "

     " เกิดอะไรขึ้น คุณโอเคมั้ย บอกเราได้นะ "

 

     พอได้ยินประโยคนั้นผมก็น้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความท้อใจว่าจะเอายังไงต่อดี งานก็ไม่ได้ทำแล้ว


     " เราโดนไล่ออกจากงานแล้ว "

     " ทำไมละ ทำไมถึงโดนไล่ออก "


     ผมเองไม่รู้จะเล่ายังไงต่อดี


     " ไม่มีไรหรอกแค่ทำผิดไปนิดหน่อยหนะ "

     " ไม่เป็นไรนะรุ้งเราจะหาเงินช่วยเอง "


     ผมร้องไห้หนักกว่าเดิมเมื่อพีมพูดออกมาแบบนั้น

     สองวันต่อมา

     ผมขยับตัวเมื่อรู้สึกถึงแสงแดดที่ส่องเข้าหน้า ถึงอยากจะนอนต่อเเค่ไหน แต่ก็ทำไม่ได้ จึงค่อยๆลืมตา สิ่งแรกที่เห็นคือพีมที่ยืนหน้ามาใกล้ๆ หน้าของผม


     " อรุณสวัสดิ์นะ "

     " ... "

     " อืม นายเป็นไงบ้าง "


     ผมว่าแล้วก็ยับตัวขึ้นมาจากที่นอน


     " อืม...โอเคดีนะ "


     ในระหว่างที่พีมไปทำงานทุกวันผมเองก็ได้แต่นอนซมอยู่ในหอนี้ บางครั้งก็ไม่ส่งพีมบ้างไปรับบ้างก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของตัวเองในวันนั้นๆ แล้วที่สำคัญคือการทำกับข้าวตอนรับพีมกลับมากินข้าวในทุกๆ วัน