" ไปหลอกคนอื่นไป๊ "
ผมรีบพาพีมเดินออกมาจากตรงนั้นเพราะไม่อยากให้พีมไปทำงานกันคนที่ผมไม่ชอบ
" รีบเดินเร็มพีม "
" เดี๋ยวสิ งั้นเอาเงินไปสองพัน แล้วเดินไปสุดท้ายจะมีร้านเสื้อผ้า ถ้าฉันโกหกแกก็ยึดเงินไปได้เลย "
เอาสิ..ลองดูตั้งสองพันบาทแหนะ เพื่อมีถ้าไม่มีก็ได้เงินสองพันบาทมาฟรีๆ ก็ไม่ถือว่าเสียหายอะไร
" แล้วชื่อร้านละ "
" ชื่อฟอสซิล "
พีมหันมองหน้าคลายคิดว่าไหนตอนแรกบอกไม่ให้ไปแล้วทำไมตอนนี้ถึงไปขึ้นมา
" งั้นไปกันเถอะ จะได้รู้ว่าจริงหรือหลอก "
" กะ...ก็ได้ "
เพียงพริบตาเดียวเราก็มาถึงร้านเสื้อผ้าที่ดูเหมือนกำลังจัดอีเวนต์อะไรสักอย่าง บรรยากาศดูคึกคักสุดๆ
" รุ้ง...แล้วพวกเรามาทำอะไรที่นี่ ไหนว่าจะไปแจกใบปลิวแบบเมื่อวานไม่ใช่เหรอ "
" เป็นยังไงพี่อิง ที่หนูหามาใช้ได้ไหม "
" โอ๋ฉันไม่อยากจะเชื่อ "
" น้อง ที่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าข้างหลังเลยเร็วๆ "
เค้าเผ่นมาเกาะหลังผมแทน สงสัยจะตื่นตูมละมั้ง เพราะเป็นแบบนี้ฉันก็เลยต้องเอ่ยอะไรสักอย่าง
" เอ่อ...พี่จะให้พีมไปเป็นนายแบบเหรอคะ "
" ใช่ๆ "
" เออ...พีมถ้าพี่จะให้ถอดเสื้อตอนโชว์ตัวพอจะได้มั้ย "
โอ๊ยมากกว่าถอดเสื้อก็ยังได้ ต่อให้ชีเปลือยโทงๆไปรอบข้าง เขาก็ยังไม่มีความอายเลยเหอะ แต่จะให้เขาถอดเสื้อโชว์ง่ายๆมันก็น่าไปหรือเปล่า พิจารณาว่าฝั่งตรงข้ามกำลังเข้าตา จนถึงกับต้องฝากความหวังไว้กับ ตุ๊ดหัวโปกให้ไปล่าหานายแบบอย่างนี้
" สองพันแค่โชว์ตัวค่ะ ถ้าจะให้ถอดเสื้อด้วย ต้องสี่พันค่ะ "
ผมเสนอออกไป สบตาอีกฝ่ายแล้วแอบกลืนน้ำลายนิดๆ หวังว่าคงจะไม่ได้เรียกแพงเกินไป แต่งานนายแบบได้เงินดีจะตาย ได้หน้าแบบนี้ หุ่นแบบนี้ ให้สองพันมันดูถูกกันเกินไปนะ
" ... "
" ตกลง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า ทำผมด่วน
!! "
ผมนี่แทบจะร้องไห้ออกมาดังๆ รีบหันไปบอกพีมที่ยืนทำหน้างงๆ เหมือนกับคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วยสักอย่าง
" พีม!! วันนี้นายไปเป็นนายแบบ ทำตามที่พี่อิงพูดทุกอย่างนะ เขาสั่งให้ทำอะไรต้อง ทำเดี๋ยวเลิกงานฉันจะมาหาที่นี่นะ "
" อ้าว...แล้วงานที่เราต้องไปแจกใบปลิวล่ะ "
" ฉันมั่นใจว่างานแจกใบปลิวน่ะรอได้ตั้งใจทำงานล่ะ พี่ครับพาพีมไปแต่งตัวได้เลยครับ "
หลายชั่วโมงผ่านไป
ผมทุกๆ วันไหล่และแขนของตัวเอง ก่อนจะหยิบผ้ากันเปื้อนเก็บใส่เป้ แล้วก็เดินออกมาจากร้านชาบู วันนี้ลูกค้าเยอะมาก เสริมจนมือเป็นระวิง ไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อนเลย เวลาพักยังแทบไม่มี ผมทำงานมาตั้งแปด ชั่วโมงรวด แบบไม่ได้เบรคเลย แต่เมื่อเดินพ้นออกมาจากร้านผมก็ปะทะกับร่างใหญ่โดยที่ยืนอยู่ตรงหน้า พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเป็นผู้ชายที่หล่อมากกก หล่อจนหายใจไม่ออก
" เฮ้ย...พีม "
" จะกลับแล้วเหรอ ลืมเราอีกแล้วใช่ไหมล่ะ "
เจ้าตัวบอกแต่ก็ฉีกยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี ผมจ้องพีมอีกรอบ พลางคิดว่าทำไมถึงได้ดูดีกว่าปกติ พอสังเกตเห็นใบหน้าที่เนียนกริบ ผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมแต่งนิดแต่งหน่อย แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกว่าแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง...ว่ากันตามความรู้สึกเหมือนกำลังยืนคุยกับดาราหน้าใหม่เลย
" เราต้องเดินตามหาคุณกับทุกร้านอาหารในห้างเลยนะ "
" ประสาท...แล้วจะเดินมาหาทำไมก็บอกว่าเดี๋ยวลงไปข้างล่างเองไง "
" ก็...งานนายแบบเสร็จแล้ว พี่อิงบอกให้เรากลับบ้านได้ แต่เราตั้งใจจะกลับพร้อมคุณเลยมายืนรอที่หน้าร้าน "
" อ๋อ...แล้วมารอนานหรือยัง ทำไมไม่เข้าไปทักในร้านล่ะ "
" แลดูคุณยุ่งๆ เราเลยนั่งรออยู่ข้างหน้าร้าน อ่ะ...เงิน "
ผมรีบรับซองขาวจากพีมมาเปิดดูพบว่าแบงค์พันนอนเรียงกันอยู่ในซองแปดใบ เฮ้!!...แปดใบหรอ
" ทำไมนายได้มาตั้งแปดพันล่ะ? "
" พี่อิงบอกว่าที่จริงให้โชว์แค่เพียงชั่วครู่ แต่กระแสตอบรับดีมาก เรายืนยิ้มแล้วถ่ายรูปกับมนุษย์คนอื่นในร้านต่ออีกราวๆ สองชั่วโมง พี่เขาเลยเพิ่มเงินพิเศษนี้ให้ "
" เจ๋งไปเลยดีมากพีม "
ผมแทบจะร้องออกมาดังๆ แต่ก็ตระหนักว่า นี่มันเงินของพีมไม่ใช่เงินตัวเอง จะหน้าด้านพกไปทั้งหมดก็ไม่ได้ อย่างมากก็แค่เอาคืนค่าเสื้อผ้า ที่ซื้อไปเมื่อคืนก่อน
" แต่ไม่รู้ทำไม สมองถึงสั่งไม่ให้เราพูด ให้กล่าวแค่ว่าขอบคุณ แล้วก็หยิบเอาไป "
" อ่ะ เอาเงินในคืนไป แต่ฉันขอหักค่าเสื้อผ้า รองเท้า ค่าข้าวของเครื่องใช้ ที่ซื้อให้นายครั้งก่อนออกมานะ "
" ไม่ต้องหรอก เราให้คุณทั้งหมด "
" ฮะ?...จะบ้าเหรอ "
ผมทำหน้าเอ่อๆ ฮัลโหลนี่มันเงินนะ ไม่ใช่ลูกอมจะยกให้กันง่ายๆแบบนี้ได้ไง
" เอาไปเถอะ เราไม่มีความตำเป็นต้องใช้มัน "
" ... "
ผมเงียบ...มองหน้าคนตรงหน้า เชื่อสนิทใจแล้วว่าคนนี้มันบ้าอย่างแท้จริง ไม่มีใครในโลกนี้ไม่ต้องใช้เงินเขาไม่รู้หรอกว่านอกจากอากาศ กับน้ำเปล่าที่สามารถเปิดดื่มได้ตามก๊อก ทุกอย่างต้องใช้เงินทั้งหมด
" หรือคุณไม่ต้องใช้มันแล้ว? "
" ใครบอกละว่าไม่ต้องใช้ "
ผมชักซองใส่เงินกลับมาอย่างไว เรื่องอะไรจะไม่เอาเงินตั้งแปดพันบาท ผมยังมองพีมยังไม่มั่นใจ รู้สึกแปลกๆ คือไม่เคยมีใครให้เงินผมแบบนี้มาก่อนในชีวิต แต่ละบาทแต่ละสตางค์ ที่กระเด็นมาให้ต้องมาพร้อมกับคำบ่นคำด่าสารพัดในทุกครั้ง จนบางทีก็อยากจะย้อนถามกลับไปว่านี่ขอมาเกิดกับพวกเขาหรือเปล่า
" แต่นายจะให้ฉันจริงๆ เหรอ ไม่เก็บไว้ซื้อของเหรอ "
" เราไม่มีอะไรที่ต้องซื้อ คุณได้มอบปัจจัยสี่ที่เพียงพอแก่การดำรงชีวิตในฐานะมนุษย์กับเราอยู่แล้วเก็บไว้เถอะ "
เขาคงลืมไปแล้วว่าปัจจัยสี่อย่าง อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรคก็ต้องใช้เงินเพื่อให้ได้มันมา แต่เอาเถอะ...ถ้าไม่จำเป็นกับนายก็ดีไป แต่จำเป็นกับฉัน
" แต่เราขอมีข้อเเม้อย่างหนึ่ง "
" อะไร "
" ต้องพาเราไปกินชาบู "
" ฮะ? "
ผมถึงกับฮะ...ดูเหมือนอะไรที่คาดเอาไว้นั้นกลับตาลปัตรไปหมด ข้อเเม้ของเค้าคือ...ชาบู
" แค่นั้นจริงๆ เหรอ "
" ใช่ เราอยากกินชาบู เคยเห็นตั้งหลายครั้งตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นปีศาจท่าทางน่าสนุก "
เขาจับแขนสองข้างของผมแล้วเขย่าอย่างกระตือรือร้น ตาสีฟ้ามองผมอย่างคาดหวังเหมือนเด็กไม่มีอะไรแอบแฝง ในดวงตาใสซื่อ มองแล้วอมยิ้มออกมาไม่ได้เลย
" เอาสิ...ฉันเองก็ไม่เคยกินมาก่อนเหมือนกัน "
" จริงสิ ไม่เคยเลยเหรอ "
" ใช่ไม่เคยเลย เพราะมันเเพงเกินไปนั้นแหละ แต่ไปลองกินสักครั้งคงไม่เสียหายอะไร "
" สุดยอด...กระเทียมแช่อิ่ม! หมูสไลด์ "
ฮ่าๆๆๆๆๆ ผมหัวเราะจนตัวงอ
" แต่ได้ยินที่ไหนมา โคตรสะเหล่อเลย ฮ่าๆๆ "
" เถอะน่า...ป่ะไปกินชาบูกันเถอะ "
" อื้ออ~~ "
หลายวันผ่านไป
ดูเหมือนว่าพีมจะไม่ต้องไปแจกใบปลิวอีกสักพัก เพราะพี่อิงโปรดปรานและเรียกใช้งานเค้าให้ไปยืนถอดเสื้อเรียกลูกค้าหน้าร้านอยู่หลายครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มดังแล้ว #หนุ่มหล่อบอกต่อตัว
อือ...บางทีผมน่าจะคิดทบทวนเรื่องพีมไม่ดีออกตัวเป็นผู้จัดการเค้าไปก่อน ผู้จัดการนี้มีรายได้โดยแบ่งเปอร์เซ็นต์จากดาราในการดูแลด้วยนิ
" นี่ๆ ดูสิ ชะนีมามุงดูรูปพีมกันใหญ่เลย "
" ไหนๆ "
" ฉันว่าเอาเด็แกไปลองเเคสต์พวกโฆษนาบ้างดีมั้ย "
" เอาสิ...แล้วต้องไปทำอะไรยังไง "
นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้ผมกับมันคุยกันเหมือนเป็นมนุษย์ร่วมโลกได้ เพราะเราทั้งสองคนต่างพร้อมใจกันหวังจะเกาะพีมกันถ้วนหน้า อีตุ๊ดมันก็ได้เครดิตไปเต็มๆถือว่าเป็นเส้นทางแมวมอง ส่วนอีแมงสาปอย่างผม ก็จะได้เป็นว่าที่ผู้จัดการดารายังไงล่ะ
" นี่! มัวจับกลุ่มคุยอะไรกันอยู่ ตอกบัตรแล้วก็ไปทำงาน อยากโดนหักเงินเดือนหรือยังไง "
" ปะ...เปล่าครับ ไปเดี๋ยวนี้ละครับ