ตอนที่ 5

      " เออ...ไม่ทำไมหรอกนะแต่ไอน้ำที่มาจากสายยางนั้นอะมันกินไม่ได้ เอาเป็นว่าวันหลังถ้าหิวน้ำให้เอาน้ำที่อยู่ในตู้เย็นตรงนั้นกินนะ "
     " ได้เรารู้แล้ว "


     ในระหว่างกินข้าวกันผมก็นึกขึ้นมาได้ว่าสบู่ในห้องน้ำหมดผมเลยบอกกับพีมไปว่าผมจะออกไปซื้อสบู่ที่ 7-11 ด้านล่างตึก


     " เดี๋ยวเรามานะจะลงไปซื้อสบู่ก่อน "
     " โอเค...แต่ว่ารุ้งไม่ได้ไปนานใช่มั้ย "
     " เซเว่นอยู่ข้างล่างหอนี่เอง ถามทำไม "
     " เปล่าหรอก...แค่ให้อยากกลับมาเร็ว เราไม่อยากอยู่คนเดียว "

     
     ผมขมวดคิ้วทำหน้างงๆ อย่าบอกนะว่าเค้าเหงาอะ คิดแล้วขนลุก


     " หรือว่านายเหงา?? "
     " ก็เราออกไปไหนไม่ได้ อยู่ได้แต่ในห้องไม่รู้จะทำอะไร ไม่มีใครจะพูดด้วยอีกต่างหาก "


     ผมก็นิ่งไปเบาๆ...เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพีมถึงดีใจขนาดนั้นเวลาเรากลับมา เพราะเค้าต้องติดแหง็กอยู่ในห้องนี้ทั้งวัน


     " อืมม...งั้นก็ถ้าไม่รู้จะคุยกับใครวันหลังให้ไปคุยกับคนที่อยู่ในกระจกนะ "


     ผมพูดเสร็จก็เดินออกไปเลยโดยทิ้งพีมไว้ให้ยืนอ้าปากหวอ


     " เราไม่ได้บ้านะที่จะยืนคุยกับตัวเองหน้ากระจก "
     " เดี๋ยวผมไปก่อน "


     สิบนาทีผ่านไป
     ผมเปิดประตูเข้าไปแล้วเอาสบู่ไปเก็บไว้ในห้องน้ำหลังจากนั้นผมก็ไปอาบน้ำเตรียมตัวที่จะนั่งทำงานของมหาลัย


     " เออ...พีมเดี๋ยวผมจะนั่งทำงานนะนายก็นั่งดูทีวีไปนะ ห้ามมากวนผมเด็ดขาด เข้าใจมั้ย?? "
     " อืม เราเข้าใจแล้ว แต่ว่าเรามีเรื่องอยากจะถามหนะคือเราอยากทำงานเราไม่อยากที่จะอยู่บ้านคนเดียว อีกอย่างถ้าเราทำงานคุณก็จะได้ไม่มีภาระเพิ่มเยอะขนาดนั้นอีกด้วย "
    

     ผมได้แต่คิดอยู่ในใจว่างานอะไรกันนะที่จะเหมาะกับพีม


     " ได้สิ...แต่ขอคิดก่อนนะว่างานไหนจะเหมาะกับนาย "


     เออใช่สิมันมีอยู่งานหนึ่งนิที่พีมน่าจะทำได้

     " นายทำได้จะทำได้แน่นะงานหนะ "
     " ได้แน่นอน "


     งานที่ผมจะให้พีมทำนั้นคืองานแจกใบปลิว
     
     ณ ตีห้า
     ผมเช็ดสภาพของหอว่ามีใครอยู่มั้ย เพื่อที่จะให้เค้าได้ออกไปทำงานโดยที่ไม่มีใครสงสัยออกไปมองซ้ายมองขวามองจนทั่ว

     " พีมออกมาเร็วทางสะดวกแล้ว "
     " มันจะรอดใช่มั้ย จะไม่มีใครเห็นใช่มั้ย "
     " ไม่มีใครเห็นหรอกเชื่อสิ "


     หลังจากที่ผมพาพีมออกมาได้แล้วผมก็พาเค้าไปฝากงาน


     " ตั้งใจทำงานละ เดี๋ยวตอนเย็นผมมารับกลับ "
     " โอเค คุณไม่ต้องห่วงเราทำได้เเน่ ไปมหาลัยเถอะ "


     มหาลัยกรุงเทพ
     ผมเดินออกมาจากกองอำนวยการศึกษาและก้มมองใบเสร็จค่าเทอมที่อยู่ในมืออย่างโล่งใจ ผมพยายามไม่คิดว่าเทอมหน้าจะหาเงินจากไหนมาจ่าย เอาเถอะ...ให้มันเป็นเรื่องของเทอมหน้าแล้วกัน แค่ต้องมารับรู้ว่าเงินห้าหมื่นบาทที่ได้มาจากการจำนำแหวนเหลืออยู่แค่สี่พันบาท ผมก็เหมือนจะหน้ามืดยังบอกไม่ถูกเลย หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมผมถึงเลือกที่จะเรียนในมหาลัยนี้ ทั้งๆที่ค่าเทอมมหาลัยนี้แพงแสนแพงแล้วอีกอย่างนึงผมก็ไม่มีเงินจ่ายซะด้วยชั่งไม่รู้จักเจียมตัวเอาสะเลยใช่ไหม


     " อ้อ...ผมเรียนนิติศาสตร์นะ "


     กว่าผมจะดิ้นรนเข้ามาในมหาลัยนี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผมได้ยินเรื่องอุทธรณ์ขอความเห็นใจจากมหาวิทยาลัยว่าผมอยากเรียนคณะนี้จริงๆแต่ผมไม่มีเงินผมจึงขอทุนจากทางมหาลัยเพื่อที่จะแลกกับการได้จ่ายค่าเทอมที่น้อยลง แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นนั้นคือผมทำเกรดตก ผมเลยต้องจ่ายค่าเทอมแบบเต็มจำนวน


     " รุ้ง "
     " อ้าว...ก้อย "


     ผมทักทายเพื่อนเพียงคนเดียวในมหาลัยนี้ ผมรู้จักก้อยเพราะเราเรียนคณะเดียวกันและเป็นเด็กที่ได้ทุนเหมือนกันแต่ก็ให้โชคดีกว่าตรงที่ยังรักษาเกดเอาไว้ได้นางเลยไม่ต้องมาพบเจอปัญหาแบบผม


     " โอ๊ย~~ไม่เจอกันตั้งเป็นเดือนนี่แกผอมลงไปเยอะเลยนะเว้ย "
     " ก็ไม่นะ เท่าเดิม "
     " เท่าเดิมยังไงก่อน ดูสิยังกับไม้เสียบผี "


     เราพากันคุยและหัวเราะตามทางไปเรื่อยๆ


     " มาเข้าเรียนบ้างก็ดี ฉันว่าจะถามแกอยู่แล้วเชียว งานเยอะแยะมากมายเลยแหละ เออ...แกยังจะเรียนต่อใช่ไหม "


     ก้อยถามยังเกร็งๆ เพราะเจ้าตัวรู้เรื่องของผมทั้งหมด และว่ากันตามตรงถึงมหาวิทยาลัยจะลดค่าเทอมให้ครึ่งหนึ่งแต่มันก็ยังเป็นจำนวนเงินที่ยังมากอยู่สำหรับผม


     " ยังเรียนต่อสิ ฉันไปหาเงินมาจ่ายได้พอดีนะ ก็เลยรอดตัวไปอีกเทอมนึง " 


     พอก้อยได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะตบบ่าผมสามสี่ครั้งเพื่อเป็นการให้กำลังใจ


     " ถ้างั้นก็ดีแล้วจัดฟันอีกนิดนึงนะรุ้ง เดี๋ยวก็จบแล้ว "
     " อื้อ "
     " แกมีอะไรให้ฉันช่วยบอกได้เต็มที่เลยนะ ฉันพร้อมจะช่วยแกเสมอ "


     ผมถึงกับอดยิ้มออกมาไม่ได้เลย อันที่จริงก้อยช่วยผมมาเยอะมากๆ เพราะผมขาดเรียนบ่อยเลยต้องตามงานไม่ค่อยทันก็มีก้อยนี่แหละ ที่คอยเตือนคอยบอกงานคอยสอน นอกจากนั้นยังคอยโทรตามคอยกำชับผมตลอดว่าวันไหนต้องทำคะแนนสอนอกจากนั้นยังคอยโทรตามคอยกำชับผมตลอดว่าวันไหนต้องมา
สอบเก็บคะแนน


     " ขอบใจมากเลยเว้ย เอาที่แกช่วยฉันอยู่ทุกวันมันก็ดีพอแล้ว ฉันจะแย่อยู่แล้ว "
     " โอ๊ย...เล็กน้อย  แต่อีกตั้งเกือบชั่วโมงกว่าจะเข้าเรียนงั้นไปห้องสมุดกันไหมฉันจะได้เอาโน๊ตให้แกดูด้วยว่าต้องทำรายงานอะไรบ้างมีวิชาไหนอีกบ้างกว่าจะเข้าเรียนงั้นไปห้องสมุดกันไหมฉันจะได้เอาโน๊ตให้แกดูด้วยว่าต้องทำรายงานอะไรบ้าง มีตั้งหลายวิชาเเน่ะ "
     " เออดี "
     " เลิกเรียนแล้วไปกินข้าวกันไหม ฉันเลี้ยงแกเอง "
     " ไม่ต้องเว้ยฉันสิต้องเลี้ยงแกต่างหาก ไม่ใช่แกมาเลี้ยงฉันจะเรียนจบอยู่แล้ไม่ใช่แกมาเลี้ยงฉัน ไม่มีแกคงเรียนไม่จบแน่ๆ "
     " ถือว่าช่วยๆกัน "


     ตกค่ำ
     หลังจากที่ผมกับก้อยไปกินข้าวกันเสร็จ ก้อยก็ได้ขอตัวกลับไปดูแลแม่ส่วนผมก็ยังอยู่มหาลัยพักใหญ่ๆเพื่อที่จะทำรายงานและทำการบ้านอีกหลายวิชาให้เสร็จพร้อมยังอ่านหนังสือทบทวนเพื่อที่จะเตรียมสอบในอาทิตย์หน้าและเพื่อที่จะไม่ให้เกรดผมตก

     แกร๊ก
     ผมไขกุญแจเข้าประตูห้อง 707 ของตัวเอง ว่าข้าวของลงบนโต๊ะก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเล็กๆของผม แล้วก็มองเห็นรูโบ๋ตรงเพดานแล้วก็นึกคิดขึ้นมาว่า เอ๊ะทำไมถึงมีรู ทันใดนั้น ผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า 

     " พีม "


     เวรละผมลืมพีมไว้ที่แจกใบปลิว เชี้ยลืมสนิทเลยว่ะ ผมลุกพรวดขึ้นรีบตะกุยตะกายออกจากห้องเพื่อที่จะไปรับพีม 


     " ขอโทษ ขอโทษ "


     ผมได้แต่คิดในใจว่าขอโทษขอโทษ เพียงแค่อึดใจเดียว ผมก็วิ่งถึงสะพานลอยที่ผมพาพีมไปส่งยืนแจกใบปลิวเมื่อเช้า

     ยังอยู่รอจริงๆด้วย


     " รุ้ง...รุ้ง!!! "


     พีมรีบลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นผมแถมยังตะโกนเรียกเสียงดัง ดูคล้ายกันกับเด็กอนุบาลที่ดีใจเวลาแม่มารับกลับบ้าน


     " รุ้งมาแล้วเหรอ "
     " อืม...ขอโทษนะที่มาช้า "
     " รอตั้งนาน เราแจกใบปลิวหมดเเล้วด้วยนะ เราทำตามที่คุณบอกทุกอย่างเลยนะ "
     " หมดเลยเหรอ สองพันกว่าใบอ่ะนะ? " 
     " ใช่ ระหว่างรอคุณ เราก็เดินเก็บใบปลิวที่คนเอาไปทิ้งมาแจกใหม่ด้วย "


     โครกก~~
     เสียงท้องร้องของอีกฝ่ายดังแทรกขึ้น พีมทำหน้าแหยๆ ก่อนจะบอกเสียงอ่อย


     " เอ่อ...คือ...เรายังไม่ได้กินอะไรเลย ตั้งแต่แยกกับคุณ "
     " ทั้งวันอ่ะนะ? "


     เจ้าตัวพยักหน้ารับว่าใช่ 
     ผมถามด้วยความตกใจว่าทั้งวันคนบ้าอะไรไม่กินข้าวมาทั้งวัน


     " แล้วเงินที่ให้ไปล่ะ "


     ผมถามถึงเงินที่ทิ้งไว้ให้ซื้อข้าวซื้อน้ำระหว่างที่รอผมกลับมารับ


     " อ้อ...นี่ไง "
     " ทำไมไม่เอาเงินไปซื้อของกินหละ ทนหิวอยู่ทำไม "
     " ก็เรากลัวเธอกลับมาเราไม่เจอก็เลยไม่กล้าไปซื้ออะไร... "
     " ... "